หลังจากหุ้นไทยแดงเดือดทั้งกระดาน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2565 หลังการเปิดเผยรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก
มองไปข้างหน้า (10-14 ม.ค.) “มงคล พ่วงเภตรา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบีเอสที (KTBST) ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะแกว่งตัว Sideway up โดยให้กรอบดัชนีไว้ที่ 1,630-1,660 จุด
ซึ่งปัจจัยที่จะกดดันภาวะตลาด ยังคงเป็น 2 ปัจจัยเดิม คือ เรื่องของนโยบายการเงินของเฟด ที่มีการรายงานผลประชุมครั้งล่าสุดที่ระบุเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายมั่นใจได้ที่อาจเกิดเร็วขึ้นและการลดงบดุล ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงมา
ขณะที่ปัจจัยสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน นักลงทุนเริ่มที่จะเห็นภาพชัดขึ้นเกี่ยวกับความรุนแรงของการแพร่ระบาด โดยจะเห็นว่าการแพร่ระบาดของโอมิครอนใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อมาถึงจุดพีก (สูงสุด) ของจำนวนผู้ติดเชื้อ ซึ่งถือว่าเร็วกว่าโควิดสายพันธุ์เดลต้าเท่าตัว เพราะเดลต้าใช้ระยะเวลาในการระบาดมาถึงจุดพีกอยู่ที่ 2 เดือน
“ในช่วง 10-14 ม.ค.นี้ จะเป็นตัวที่บอกเลยว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งขึ้นไปถึงหลักหมื่นคนตามที่หลาย ๆ คนคาดการณ์ไว้หรือไม่ ถ้าหากผู้ติดเชื้อโอมิครอนพุ่งเป็นหลักหมื่นจริงตามคาด น่าจะทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้” นายมงคลกล่าว
ดังนั้น คาดว่าในช่วง 10-14 ม.ค.นี้ แรงเทขายที่จะเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับเฟดจะลดน้อยลง ส่วนแรงซื้อก็ยังคงไม่ได้มีเพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะชะลอการลงทุนลงในระยะนี้ ขณะที่จะเห็นว่าแนวรับที่ให้ไว้ที่ 1,630 จุด ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจาก 2 ปัจจัยดังกล่าว ขณะที่ปัจจัยบวกยังไม่มีเข้ามาใหม่
“มงคล” ชี้ว่า ช่วง 10-14 ม.ค.นี้ ถ้ามีปัจจัยลบเข้ามาเพิ่ม น่าจะเป็นลูปในขาลงมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นลบ แต่จะ Sideway และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยตลาดเริ่มรับรู้แล้ว ความกังวลอาจไม่ได้มีมากนัก ส่วนหุ้นที่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจและยังคงทำผลงานได้ดี ยังคงเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน