หุ้นไทยปิดตลาด -3.25 จุด โบรกฯ ชี้หุ้นร่วงจากปัจจัยลบ FTSE rebalance ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย ทำให้มีแรงขายหุ้นใหญ่ออกมาบ้าง มองแนวโน้มสัปดาห์หน้าทิศทางวนอยู่ในกรอบเดิม ประเมินกรอบแนวรับที่ 1,660 จุด และแนวต้าน 1,700 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 18 มีนาคม 2565 ปรับตัวลดลง -3.25 จุด หรือ -0.19% โดยปิดตลาดที่ 1,678.51 จุด มุลค่าการซื้อขาย 98,135.25 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายในวันนี้ดัชนี SET INDEX แกว่งขึ้นลงสลับแดนบวกและแดนลบโดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,685.68 จุด และปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,677.16 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 629 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 579 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 1,144 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า 1,058.38 ล้านบาท และบัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า 1,374.37 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า -2,234.60 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -198.16 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 5,189.79 ล้านบาท ปิดที่ 161.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
2.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,330.47 ล้านบาท ปิดที่ 145.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
3.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 3,552.32 ล้านบาท ปิดที่ 67.25 บาท ลดลง 0.25 บาท
4.AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,923.55 ล้านบาท ปิดที่ 65.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
5.JTS มูลค่าการซื้อขาย 2,459.79 ล้านบาท ปิดที่ 285.00 บาท ลดลง 6.00 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.CENTEL ปิดที่ 39.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือ +6.00 %
2.PTTEP ปิดที่ 145.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 1.05%
3.MEGA ปิดที่ 45.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 2.86%
4.JMART ปิดที่ 54.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 1.86%
5.BBL ปิดที่ 138.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 0.73%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.SCC ปิดที่ 381.00 บาท ลดลง 4.00 บาท หรือ 1.04%
2.AEONTS ปิดที่ 204.00 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ 1.45%
3.SCB ปิดที่ 118.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 1.66%
4.BH ปิดที่ 164.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 1.20%
5.ADVANC ปิดที่ 232.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 0.85%
ส่วนดัชนี SET100 ปิดที่ 2,302.94 จุด ลดลง -7.16 จุด หรือ -0.31% ด้านดัชนี SET50 ปิดที่ 1,015.02 จุด ลดลง -4.15 จุด หรือ -0.41% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 621.38 จุด เพิ่มขึ้น 12.58 จุด หรือ 2.07%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวแคบๆ สลับบวกลบ ปัจจัยเชิงบวกมาจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเตือนภาวะตึงตัวในตลาดน้ำมัน ประเมินมาตรการคว่ำบาตรทำรัสเซียไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันอื่นๆ รวม 3 ล้านบาร์เรล/วันในเดือน เม.ย. ขณะที่คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันจะลดลงเพียง 1 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้กลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นมีแรงเก็งกำไรเข้ามา
ส่วนปัจจัยในประเทศ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยโดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR ก่อน คาดว่าจะทำให้ต่างชาติเข้ามามากขึ้น เป็นแรงหนุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว AOT, ERW, MINT
ขณะที่ปัจจัยลบวันนี้ FTSE rebalance ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยทำให้มีแรงขายหุ้นใหญ่ออกมา แม้จะคาดว่าจะลดน้ำหนักลงเพียงประมาณ 20-25 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นปัจจัยกดดัน sentiment ลงทุนทำให้ตลาดไปไหนไม่ไกล โดยในวันนี้ปัจจัยไม่แรงทั้งบวกและลบ
ด้านแนวโน้มในสัปดาห์หน้าคาดว่าตลาดยังไปไหนไม่ไกล โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยในสัปดาห์หน้าให้แนวรับ 1,660 จุด แนวต้าน 1,700 จุด โดยในบริเวณ 1,680-1,700 จุดจะมีแรงขายทำกำไรออกมา เพื่อล็อกกำไรและเล่นรอบมากกว่า
อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket