ดร.นิเวศน์ตีแผ่ “เทศกาลปั่นหุ้น” บทเรียน Corner ราคาหุ้นเล็กวิ่งชนซิลลิ่ง

บทความโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า

ช่วงเร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เกิด “กระแสใหม่” ที่ร้อนแรงมากในการลงทุนหรือควรจะเรียกว่า “เล่นหุ้น” มากกว่านั่นก็คือ การที่หุ้นโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กหลาย ๆ ตัวมีราคาเพิ่มขึ้นมากในเวลาอันสั้น บางวันหุ้นตัวเล็กถึง 4-5 ตัว มีราคาขึ้นไปที่ซิลลิ่งหรือ 30% โดยที่ไม่ได้มีข่าวอะไรพิเศษ

นอกจากนั้น หุ้นอีกจำนวนไม่น้อยก็วิ่งขึ้นไปมากกว่า 10% ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว เกิดอะไรขึ้น ? จริงอยู่ ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นบ้างอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจไทยเริ่มจะฟื้นตัว ผลประกอบการของบริษัทใหญ่ ๆ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ประกาศมาก็ดีขึ้นเช่นเดียวกับหุ้นพลังงานที่มีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก

แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทเล็ก ๆ มากนัก ดังนั้นทำไมอยู่ๆ หุ้นเล็กหลาย ๆ ตัวก็วิ่งขึ้นไปเร็วมากและดูเหมือนว่าหลาย ๆ ตัวจะวิ่งต่อเนื่องไปหลาย ๆ วัน จนราคาขึ้นไปหลายเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่วัน ?

คำตอบของผมอยู่ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มเกิดโควิด-19 ใหม่ ๆ เมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว เริ่มตั้งแต่นักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมาก อาจจะเป็นล้านคน “แห่” กันเข้าตลาดหุ้นเพราะเห็นว่าในภาวะที่ “ยากลำบาก” และไม่รู้จะทำอะไรดี

แต่มีเงินสดเหลืออยู่มาก ตลาดหุ้นน่าจะ “ตอบโจทย์” ได้ดีที่สุด นั่นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นที่ย่ำแย่มาหลายปีปรับตัวขึ้นทั้ง ๆ ที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจตกต่ำลงมาก แต่หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ก็คือ “หุ้นตัวเล็ก” ที่โตขึ้นมาก บางตัวปรับตัวขึ้นไปหลาย ๆ เท่าหรือหลาย 10 เท่าภายในเวลาปีเดียว

นั่นเป็นเพราะนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อย และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจในเรื่องของพื้นฐานและมูลค่าของกิจการในการลงทุน เข้าไปซื้อเพราะเห็นว่าหุ้นวิ่งขึ้นไปได้ง่ายและเร็วกว่าหุ้นตัวใหญ่

แต่หุ้นที่เป็นตัว “จุดชนวน” ให้เกิดกระแสที่ผมอยากจะเรียกว่าการ “ปั่นหุ้น” เพราะทำให้หุ้นมีราคาผิดจากที่ควรจะเป็นมาก น่าจะเป็นหุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงโควิด เช่น ถุงมือยางและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางอย่าง

ซึ่งหุ้นเหล่านั้นถูกซื้อจนราคาหุ้นขึ้นไปสูงจนไม่น่าเชื่อ จากหุ้นขนาดกลาง ๆ และไม่ติด 50 อันดับแรกของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่และยักษ์ที่สามารถท้าทายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศได้ โดยที่เหตุผลนั้นนอกจากเรื่องของผลประกอบการที่น่าจะดีขึ้นมากแบบ “ชั่วคราว” แล้ว

ก็คือการที่หุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ขายแม้ว่าราคาจะขึ้นไปมาก ทำให้หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดมีน้อยกว่าความต้องการซื้อมาก ส่งผลให้หุ้นถูก “Corner” และทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบ “หลุดโลก”

บทเรียนการ Corner หุ้นที่มี Story หรือมีเรื่องราวว่าจะมีผลประกอบการติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” นั้น น่าจะทำให้นักลงทุนรายใหญ่บางคนในตลาดหุ้นไทย หรือรายที่ไม่ได้ใหญ่มากแต่เน้นแนวเก็งกำไรที่มีอยู่มาก โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 สนใจที่จะทำบ้าง

เพราะเห็นแล้วว่าสามารถที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นได้มหาศาลแทบจะไม่จำกัด โดยที่กระบวนการและวิธีที่จะเข้าไปทำนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดกฎหมายการปั่นหุ้น ดังนั้นการ Corner หุ้นตัวเล็กก็เกิดขึ้น เพราะนี่เป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย ใช้เงินไม่มาก และมีโอกาสที่จะดึงดูดนักเล่นหุ้นรายย่อย รวมถึงที่เป็นคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่วมได้ง่าย

ผลของการทำในช่วงแรกนั้นได้ผลตามคาดหรือต้องบอกว่าเกินคาดมาก หุ้นบางตัวที่ถูก Corner มีราคาหรือมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่เคยเป็นหุ้นตัวเล็กมีมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทระดับร้อยหรือพันล้านบาทกลายเป็น “หุ้นแสนล้านบาท” ในเวลาไม่กี่เดือน คนหรือกลุ่มคนที่เข้าไปทำปฏิบัติการนี้ โดยใช้เงินแค่ 10 หรือ 100 ล้านบาท อาจจะกลายเป็นมหาเศรษฐีหุ้นพันหรือหมื่นล้านบาทไปแล้วก็ได้

และนั่นก็นำไปสู่หุ้นตัวต่อ ๆ ไป และโดยนักเล่นรายใหญ่ และ/หรือกลุ่มนักเล่นรายกลาง ๆ อื่น ๆ ที่เห็นว่าการทำ Corner หุ้น โดยเฉพาะที่เป็นตัวเล็กนั้น “ทำได้ไม่ยาก” และน่าจะได้กำไรมหาศาล ขอให้มีคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งผมคิดว่าอย่างน้อยจะต้องเป็นดังต่อไปนี้

ข้อแรก หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดจะต้องมีสัดส่วนน้อย เช่น 25-30% ของหุ้นทั้งหมด และคิดเป็นเม็ดเงินก็ไม่ควรจะมาก เช่น ไม่เกิน 300 ล้านบาท จาก Market Cap. 1,000 ล้านบาท ในตอนเริ่มต้น โดยที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นจะไม่ขายแม้ว่าราคาจะขึ้นไปมาก ซึ่งนี่จะต้องมีเหตุผลมั่นใจพอสมควร ในหลายกรณีนั้นก็อาจจะเป็นเพราะมีการตกลงกันก่อนว่าจะไม่ขายอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่งหรือจนกว่าหุ้นจะขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง เป็นต้น

การที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่จะรักษาสัญญานั้นก็เป็นเพราะตนเองก็จะได้ประโยชน์มหาศาลจากการที่ราคาหุ้นขึ้นไป ถ้ารีบขายก่อนหุ้นก็อาจจะสะดุดและตกกลับลงมา ดังนั้นเขาจึงไม่ขาย เผลอ ๆ ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายอาจจะเป็นคนเริ่มหรือชวนคนอื่นมาเล่นด้วยซ้ำ

ข้อสอง เป็นบริษัทที่อยู่ในธุรกิจหรือผู้บริหารกำลังเริ่มเข้าไปทำธุรกิจ “แห่งอนาคต” ที่จะสามารถทำกำไรแบบ “มโหฬาร” ได้ ไม่ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เพราะเรื่องของ “สตอรี่” นั้น คนไม่สนใจเรื่องโอกาสความเป็นไปได้ว่าจะมีกี่เปอร์เซ็นต์

วัตถุประสงค์ก็คือ “หาสตอรี่ให้กับคนที่อยากจะเชื่อ” อยู่แล้ว ตัวอย่างตอนนี้ก็เช่น เรื่องของการลงทุนซื้อขาย หรือการทำเหมืองขุดบิตคอยน์ เป็นต้น สำหรับประเด็นนี้ถ้าจะให้มีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นก็คือ บริษัทกำลังมีผลประกอบการดีขึ้นหรือมีฐานะการเงินที่ดีพอที่จะเข้าไปทำภารกิจแห่งอนาคต “ได้อย่างแน่นอน”

ข้อสาม ก็คือเรื่องของการ Execute หรือการลงมือปฏิบัติ ผมคิดว่าการทำเป็น “กลุ่ม” หรือ “ก๊วน” ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนั้นจะมีความปลอดภัยที่จะไม่ถูกตรวจสอบจากทางการได้ นั่นหมายถึงว่าเส้นทางเงินจะต้องเป็น “ของใครของมัน” ไม่มีการใช้ Nominee หรือตัวแทนในการซื้อขาย

จำนวนสมาชิกก็ต้องมีหลายคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวพันในทางสายเลือดหรือทางกฎหมาย แม้แต่การซื้อขายนั้น ผมก็คิดว่าต้องไม่ได้สั่งจากคนคนเดียว กล่าวให้ชัดก็คือมันน่าจะเป็น “Conspiracy Theory” คือทุกคนอาจจะมีแค่เป้าหมายที่ตรงกันนั่นคือการทำ Corner หุ้น

ส่วนในทางปฏิบัตินั้น น่าจะมีความยืดหยุ่นพอสมควรที่จะทำให้ทางการไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการร่วมมือกันทำ ประเด็นสำคัญผมคิดว่าอยู่ที่ช่วงเริ่มต้น “จุดพลุ” ให้นักเล่นส่วนบุคคล โดยเฉพาะรายย่อยเข้ามาร่วม หลังจาก “จุดติด” คือมีคนเข้ามาสนใจและร่วมเล่นมากพอและหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างแรงและเกิด “ปฏิกิริยาลูกโซ่” คือมีรายใหม่เข้ามาเล่นต่อกันไปแล้ว คนเริ่มทำก็อาจจะหยุดและรอทำขั้นต่อไป นั่นก็คือ

ข้อสุดท้าย การทำ Maintenance หรือคอยประคองราคาและปริมาณการซื้อขายต่อเนื่องไปเพื่อที่จะค่อย ๆ “ออกของ” หรือทยอยขายหุ้นในราคาที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในกระบวนการนี้ผมคิดว่าพวกเขาจะต้องคอยติดตามหุ้นอย่างใกล้ชิด แต่จะทำต่อเมื่อพบจังหวะที่การซื้อหรือขายอาจจะไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นตกลงมาแรงจนทำให้คนตกใจและขายตาม

ในช่วงนี้บ่อยครั้งหุ้นจะค่อย ๆ ซึมลงและอาจจะทยอยตกลงมาอย่างช้าๆ ติดต่อกันหลาย ๆ วัน หน้าที่ของคนที่ดูแลหุ้นก็คือ จะต้อง “ลากหุ้น” กลับมาอย่างแรงถึงจุดเดิมหรือใกล้กับจุดเดิมเพื่อที่จะทำให้คนที่ขายไปเสียดาย และทำให้คนที่อยากจะขายก็จะไม่ขายตอนที่หุ้นตก เพราะคิดว่าถือหุ้นไว้ดีกว่าเพราะเดี่ยวมันก็จะขึ้นกลับมา อะไรทำนองนี้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือดูแลไม่ให้ “กราฟ” เสีย

ทั้งหมดนั้นก็คือ ภาพของกระบวนการที่ผมคิดว่าจะเป็น จากการสังเกตพฤติกรรมที่ปรากฏของหุ้นและการรับรู้ว่ายุคนี้ มีนักลงทุนประเภทไหนเข้ามาเล่นในตลาดหุ้นบ้าง ประกอบกับการวิเคราะห์จิตวิทยาของมนุษย์ว่าคิดหรือทำอะไรหรืออย่างไรกับการเก็งกำไร ผมเองก็ไม่ได้มั่นใจว่า “นักปั่นตัวจริง” ทำอย่างนั้นทั้งหมดหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าหุ้นมีคนปั่นแน่นอน และผลที่ออกมาก็แน่นอนเพราะประวัติศาสตร์มันฟ้อง

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หุ้นที่ถูก Corner นั้น ในที่สุดซึ่งบางครั้งอาจกินเวลาเป็นปีหรือหลายปีหลังจากที่หุ้นขึ้นไปสูงสุด มักจะตกกลับลงมา อาจจะใกล้เคียงกับราคาเดิมก่อนจะขึ้น ถึงตอนนั้น หุ้นตัวนั้นก็มักจะ “หมดอนาคต” หุ้นแน่นิ่งไม่มีคนสนใจไปอีกนาน คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องต่างก็แยกย้าย

คนที่เป็น “เจ้ามือ” หรือคนทำอาจจะรวยไปเลย แต่คนเล่นส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุน บางคนอาจจะ “เจ๊ง” จากหุ้นตัวนั้น และทุกคนก็จะมองหา “หุ้นเป้าหมาย” ตัวใหม่เล่นจนกว่าจะหมด “เทศกาลปั่นหุ้น” ในรอบนี้

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance